วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Made My Day


ใครว่าอาหารเช้าจะต้องทานแค่ช่วงเช้าเท่านั้นคะ วันนี้ Eating out จะพาสาวๆ ไปทำความรู้จักกับร้านแห่งหนึ่ง ที่เค้ามีคอนเซปต์เก๋ๆ สุดชิคว่า All Day Breakfast แถมร้านยังน่ารักมาก เต็มไปด้วยไอเดียเริ่ดๆ ทำให้เราตกหลุมรักตั้งแต่ก้าวแรก ที่เข้าไปในร้าน Made My Day
เพียงแค่เปิดประตูก้าวเข้าไปในร้าน ก็แทบจะตกหลุมรักทันทีกับความน่ารักมีสไตล์เหมือนบ้านในฝันที่เต็มไปด้วยสีสันของบรรยากาศแสนหวานของเหล่าบรรดาของตกแต่ง สไตล์ cozy vintage แสนเก๋ไม่ว่าจะเป็นกรอบรูปหลากหลายที่ใส่รูปภาพเก่าย้อนยุคสุดเก๋ที่อยู่บนผนัง เข้ากันได้อย่างดีกับวอลล์เปเปอร์ลายคลาสสิค ไล่ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์เก้าอี้และโซฟาทรงวินเทจสีสันลวดลายน่ารัก และโคมไฟทำเองลายจุด เพิ่มดีเทลด้วยของกระจุกกระจิก ถึงแม้จะมีที่นั่งอยู่จำกัดแค่ 8 ที่ แต่ทว่าก็สามารถที่จะจัดมุมแต่ละมุมเอาใจสาวอย่างเราแบบสุดๆ นั่งตรงไหนก็มีมุมเก๋ๆ ให้ถ่ายรูปอวดคนอื่นได้อย่างเต็มที่
ก้าวบันไดขึ้นไปชั้นบน ยิ่งทำให้รู้เหมือนกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้านเล็กๆ เป็นส่วนตัว สไตล์การตกแต่งข้างบนแลดูน่ารักและคลาสสิคไม่แพ้กับข้างล่าง นั่งเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเพราะได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศแสนเก๋ซะขนาดนี้ เข้าสู่ในส่วนของเมนูอาหารกันบ้าง เราเลิฟตรงที่ร้านนี้เค้ามีคอนเซปต์ว่า “All Day Breakfast ”กับการบริการเสิร์ฟอาหารเช้าทั้งวัน เหมาะกับคนตื่นสายอย่างเราจัง เพราะไม่เคยตื่นมาทันทานอาหารเช้าซะที แต่ใช่ว่าจะมีแต่ breakfast เท่านั้นนะ เค้ายังมีเมนู main course และของหวานให้เลือกหลากหลาย
จะมัวรอช้าอยู่ทำไมเริ่มจานแรกกันแบบสวยๆ ด้วย ออมเล็ตแฮม เห็ด และผักโขม (95 บาท) ไข่ออมเล็ตนุ่มนิ่ม สีเหลืองนวลน่าทาน ข้างในเยิ้มๆ เต็มไปด้วยผักโขม และแฮม หอมกลิ่นเนยนมมากคะ เป็นการเริ่มต้นมื้อเช้าที่ดีจริงๆ สำหรับวันนี้
จากนั้นก็ต่อกันที่เมนูนี้ Chicken Roll (170 บาท) เนื้อไก้ม้วนนุ่มแน่นม้วนใหญ่ สอดไส้ด้วยผักโขมตรงกลาง เก๋ไม่เหมือนใคร ได้รสชาติของเนื้อไก่เต็มคำมาก ยิ่งได้ทานคู่กับน้ำซอสเกรวี่ที่ราดมาข้างจาน รสชาติของเนื้อไก่เข้ากันได้ดีกับน้ำซอส แกล้มให้ครบรสด้วยมันบด เท่านี้ก็ครบสูตร
จบของคาวแล้วมาต่อกันที่ของหวานเพิ่มความหวานให้ตัวเองกันบ้างดีกว่ากับ แพนเค้กกล้วย(85บาท) แพนเค้กทำกันมาใหม่ๆ ชิ้นใหญ่หนานุ่ม 2 ชิ้นประกบกัน กลิ่นหอมน่าทานเตะจมูก ด้านบนเป็นกล้วยหอมหั่นมาในชิ้นพอดีคำ ราดด้วยน้ำผึ้งและช็อคโกแลต อร่อยมากมาย
ไหนๆ แล้วขอของหวานปิดท้ายอีกเมนูที่แอบเล็งไว้นาน นั่นก็คือ วาฟเฟิลบลูเบอรี่ (110 บาท) วาฟเฟิลอบกันมาใหม่ๆ ร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนมาตั้งแต่ยังไม่ถึงโต๊ะ วาฟเฟิลเนื้อนุ่มโรยหน้าด้วยไอซิ่งทานคู่กับท้อปปิ้งบลูเบอรี่เชื่อม และไอศครีมวานิลลา ทั้งหอมทั้งหวานอร่อยแบบนี้ จานนี้ไม่ถึง 5 นาที เป็นอันเกลี้ยงคะ

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กากั้น (Gaggan)


          ถ้าเปรียบการรับประทานอาหาร เหมือนการเดินทางเพื่อไปค้นหาประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับกระเพาะอาหารแล้ว ร้าน Gaggan หรือ “กากั้น” คงเป็น Unseen ของการเดินทางไปค้นหารสชาติแปลกใหม่ของอาหารอินเดีย
   


       
                มร.กากั้น เป็นชาวอินเดียที่มาอยู่เมืองไทยกว่า 4 ปีแล้ว เขาเป็นเชฟอาหารอินเดียมาหลายแห่ง ล่าสุดตกลงใจมาหุ้นกับเพื่อนๆ เปิดร้าน Gaggan เป็นของตัวเองบ้าง โดยเขาไปศึกษาเพิ่มเติมด้านศาสตร์อาหารสมัยใหม่ที่สเปน และกลับมาทำอาหารแนวที่เขาเรียกว่า Progressive Food
 








                 เมื่อแขกหลายคนทำหน้าฉงนกับคำนี้ เขาจะบอกว่า หลังจากรับประทานอาหารโดยฝีมือเขาจบลง ก็จะได้คำตอบของคำๆ นี้    ก่อนที่จะเริ่มกินอาหารของที่นี่ คุณจะต้องลืมภาพอาหารอินเดียในรูปแบบเก่าๆ ทิ้งไปให้หมด ไม่ว่าจะเป็น แกงเนื้อหรือแกงไก่ในเครื่องเทศข้นๆ อยู่ในกระทะทองเหลืองอร่ามตาใบเล็ก หรือไก่ย่างทันดูรีสีส้มเข้มชิ้นโตๆ วางเคียงคู่มากับแป้งนานแผ่นใหญ่ๆ โดยมีน้ำจิ้มหัวหอมดองเป็นเครื่องเคียง    เพราะPresentation อาหารอินเดียที่นี่ เป็นจานโมเดิร์นที่ Food Stylist ออกแบบมาอย่างสวยงาม ทันสมัยจนแทบไม่เหลือกลิ่นอายของความเป็นอาหารอินเดียไว้เลย








           เมนูของร้าน Gaggan จะแบ่งเป็น Chapter มีทั้งหมด 4 Chapter เริ่มจาก Chapter 1 เป็นจานเรียกน้ำย่อย Chapter 2 เป็น An Italian Romance ส่วน Chapter 3 เป็น A Twist of India ปิดท้าย Chapter 4 ด้วยขนมหวาน ส่วนความแปลกใหม่ในการเลือกสั่งอาหารแต่ละเมนู อาจจะต้องได้รับคำแนะนำจากเชฟกากั้น หรือผู้ช่วยคนอื่นๆ ที่ถูกฝึกฝนด้านความรู้มาอย่างดี
        แต่ถ้าใครไม่รู้จะเลือกรับประทานอะไร เชฟกากั้นก็มี Tasting Menu  ตามอารมณ์เชฟจะปรุงแต่งในแต่ละวัน เป็น Surprised  Dish  ซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ได้ในช่วงนั้นด้วย ทั้งหมดมี 10 เมนูด้วยกัน ในราคาคนละ 1,600 บาท++ ลองมารับประทาน Unseen อาหารอินเดียกันดู


           การเดินทางเริ่มจาก Wellcome Menu เป็นโยเกิร์ตผสมสมุนไพร หน้าตาเหมือนไข่ขาวเป็นลูกๆ ใส่มาในช้อนกระเบื้องสีขาวเป็นคำๆ วิธีการนั้นจะปรุงโยเกิร์ตกับสมุนไพรแล้วหย่อนในสารละลายCalcium Chloride จะทำให้โยเกิร์ตซึ่งเป็นของเหลวนั้น กลายเป็นเจลเกาะอยู่ผิวนอกเหมือนไข่ที่มีเยื่อหุ้ม รสชาติของโยเกิร์ตจะช่วยให้ในปากสดชื่นขึ้น พร้อมที่จะลิ้ มลองอาหารจานต่อไป



              The Goose is not Cooked เป็นตับห่านออร์แกนิกจากฮังการี ใช้วิธี Slow Cooked คือนำมาตับห่านมาใส่ถุงพลาสติกปิดให้แน่น แล้วนำไปใส่เครื่อง Slow Cooked ที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส นาน 6 ชั่วโมง วิธีนี้จะไม่ทำให้ตับห่านสุก แต่จะช่วยให้รสชาติดีขึ้น จากนั้นจึงนำมาตบแป้งบางๆ แล้วนาบบนกระทะให้สุกนอกนุ่มใน หน้าตาอาหารจานนี้จึงดูเป็นฝรั่ง จะมีกลิ่นอายของอินเดียก็ตรงซอสชัทนีย์ราสเบอร์รี่ที่ราดลงไปนั่นเอง
      กุ้งผัดกับซอสพริก ใช้กุ้งแม่น้ำขนาดใหญ่ 2 ตัว นำมาผัดกับพริกแกงเหมือนบ้านเรา รสชาติค่อยเหมือนอาหารอินเดีย แต่หน้าตาของอาหารดูดีมาก


               Paneer Makha เมนูนี้ใช้จานโลหะแบบ 3 หลุม แต่ละหลุมจะมีของเด็ด อาทิ Paneer Makha เป็นชีสที่ทำจากนมวัว ที่คนอินเดียนิยมทำไว้รับประทานตามบ้าน อีกหลุมเป็นถั่วลันเตาราดครีมซอสรสชาติเข้มข้นอร่อยปากมาก และลาวิโอลีห่อมันฝรั่งบด
      ก่อนจะเดินทางหาประสบการณ์แปลกใหม่ของร้านกากั้นต่อไป จะพักยกด้วยการเสิร์ฟ แซงเกรีย เรด ที่ใช้ Liquid Nitrogen ทำให้เหล้าชนิดนี้เย็นเป็นเหมือนไอศกรีม ภายในเวลาครึ่งนาทีเท่านั้น เหมือนเสกกันมาเลย (แต่เชฟบอกว่าไม่อันตราย เพราะสารเคมีจะระเหยไปหมดก่อนที่เราจะดื่ม) จากนั้นจึงมาเริ่มกันต่อที่ จานหอยลาย ที่ปรุงกับพริกแกง กะทิและมาสซาร่า ให้รสชาติเผ็ดเล็กน้อยแต่อร่อยจนซดน้ำหมดจานขอยกนิ้วให้






                 Mushroom Risotto จานนี้ชื่ออิตาเลียนจ๋ามาเลย แต่ข้าวที่ทำRisotto ใช้ข้าวอินเดียเมล็ดกลมสั้น มาจากทางใต้ของอินเดีย หุงแบบรีซอตโต้คลุกกับเห็ดมอลรัลจากเทือกเขาหิมาลัย จานนี้เชฟบอกว่าไม่มีกรรมวิธีพิศดารแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้วัตถุดิบจากอินเดียแต่มาทำเป็นอาหารอิตาเลี่ยนเท่านั้น ซึ่งรสชาติก็อร่อยใช้ได้ทีเดียว
   



                แล้วก็มาถึงจานหลักที่เสิร์ฟมาทั้งหมด 3 จานด้วยกันคือ เนื้อแพะตุ๋นเครื่องเทศ ทำแบบslow cookedจะทำให้เนื้อเปื่อยนุ่มฉ่ำน้ำเนื้อ ยิ่งผัดกับเครื่องเทศจะกลบกลิ่นสาบของเนื้อแพะ เหลือแต่รสชาติที่นุ่มละมุนลิ้น อีกจานเป็น Chicken Tikka Masala เหมือนแกงไก่ในพริกแกงของบ้านเรา แต่แกงอินเดียจะใช้เครื่องเทศแห้ง ส่วนพริกแกงไทยจะเป็นสมุนไพรสดๆ จานนี้ให้รสชาติไม่ฉุนเฉียวมากนัก จานที่สามเป็นแป้งนานที่ย่างในเตาทันดูรี เสิร์ฟแบบร้อนๆ ใช้จิ้มแพะหรือไก่ก็อร่อย



   
                แล้วการเดินทางก็มาถึงช่วงสุดท้ายคือ ของหวานเป็นไอศกรีมมะม่วง ตัวไอศกรีมนั้นใช้มะม่วงมหาชนก ด้วยวิธีไนโตรเจนเหลว ทำให้เนื้อมะม่วงกลายเป็นไอศกรีมได้ภายในครึ่งนาที ส่วนบรรดาผลไม้หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นั้น ถูก Freeze-dried ให้ผลไม้แห้งกรอบขึ้นมาทันทีทันใด แต่ยังคงรสชาติเหมือนเดิม
ใช่ว่าอาหารจะแปลกใหม่ แต่ใครมาร้านนี้ต้องชมว่าร้านตกแต่งได้สวยมากๆ เพราะใช้บ้านเก่ามาตกแต่งในบรรยากาศเหมือนนั่งกินข้าวสบายๆ อยู่ในบ้านของตัวเอง มีมุมหลากหลายให้เลือกนั่งทั้งด้านนอก ด้านใน ที่พิเศษเป็นห้อง Chef Dining เป็นห้องส่วนตัวจุได้ 10 คน ผนัง 2 ด้านจะเห็นสวนสวย แต่ผนังด้านในสุดจะเป็นกระจกวิเศษ ที่เปิดสวิตช์จะเห็นภาพเชฟกากั้นกำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัวพร้อมกับฟังเพลงคาราบาวไปด้วย เรียกว่าดูกันเพลินๆ พร้อมกับรับประทานอาหารไปด้วย ถ้าอยากเป็นส่วนตัวก็เพียงแต่ปิดสวิตช์ไฟ กระจกก็จะกลับมาทึบเหมือนเดิม   สำหรับผู้เขียนที่ได้มีโอกาสไปสัมผัสกับอาหารแนวหใม่นั้น  รู้สึกสนุกสนานไปกับทุกจานที่ต้องคาดเดากรรมวิธีในการทำ พร้อมกับลิ้มรสชาติไปด้วย ได้ความอร่อยพร้อมกับความรู้เกี่ยวกับอาหารเพิ่มเติมอย่างคุ้มค่าจากเชฟกากั้น
 ร้านกากั้นเปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 18.00 น.เป็นต้นไป สถานที่ตั้งอยู่หลังสวนตรงข้ามซอย 3 เข้าไปในซอยเล็กน้อยจะเห็นบ้านสวยๆ อยู่ทางซ้ายมือ ไปไม่ถูกสอบถามที่ โทร. 0-2652-1700

Water Library


ชื่อร้าน : Water Library
ที่ตั้ง : 317 อาคาร ชั้น 2 จามจุรีสแควร์ ถนนพญาไท แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 
         The Grass ทองหล่อ
ประเภท  :  อาหารสไตล์ฝรั่งเศสโมเดิร์น และเป็นแหล่งรวมของ น้ำแร่หลากหลายชนิด
เวลาเปิดบริการ : เปิดทุกวัน เวลา 11.00 - 22.00 น.
ติดต่อ : โทรศัพท์ 2-2160-5188-9

Water Library เป็นร้านอาหารชื่อเก๋ ๆ ตามคอนเซปต์แปลกใหม่สำหรับร้านอาหารในเมืองไทย เพราะความโดดเด่นของร้านนี้คือเป็นแหล่งรวมของบรรดา น้ำแร่ที่น่าจะมีมากที่สุดในประเทศไทย


             ดังนั้น มั่นใจได้ว่าเมื่อเปิดห้องสมุดแห่งนี้ขึ้นมา ลูกค้าจะได้ตื่นเต้นและดื่มด่ำกับประสบการณ์ของบรรดา น้ำแร่เพื่อสุขภาพที่สรรหามาจากทั่วทุกมุมโลก แล้วคุณจะรู้ว่า น้ำใสๆ ที่เราเห็นนอนอยู่ในขวดแก้วใบสวยหลากหลายแบบนั้น เมื่อมาจากต่างถิ่นกัน รสชาติก็แตกต่างกันไปตามแร่ธาตุอันเป็นแหล่งต้นกำเนิดของน้ำแร่แต่ละแหล่ง
 ซึ่งใครจะคิดว่า น้ำแร่ก็สามารถจัดเทสติ้งได้เหมือนไวน์เช่นกัน เพราะถ้าอยากจะรู้เรื่องน้ำแร่ให้ลึกซึ้งก็ลองเลือกสั่งจากMineral Water Menu ซึ่งมีนอกเหนือจาก Wine List มาสัก 2-3 ขวดเพื่อมาชิมกันดู และพนักงานของร้านยังได้รับการอบรมมาเพื่อให้ความรู้เรื่องน้ำแร่ได้เป็นอย่างดีทีเดียว






               แค่เดินเข้าไปในร้านจะตื่นตาตื่นใจกับเคาท์เตอร์วงกลมขนาดใหญ่และมีชั้นเรียงสูงเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมตั้งโดดเด่นอยู่กลางห้อง ชั้นแก้วใสแต่ละชั้นจะเรียงรายไปด้วยขวดน้ำแร่ที่ออกแบบในรูปทรงแปลก ๆ เรียงรายไปตามชั้นทรงกลม จัด Lighting Design สะท้อนให้เห็นความแวววาวจากขวดแก้วรูปทรงแปลกตาสีสันต่างๆ ที่ล้วนเป็นน้ำแร่จากแหล่งสำคัญของโลก ไม่ว่าจะจากฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ อิตาลี นอร์เวย์ ญี่ปุ่น ฯลฯ แสดงให้เห็นถึงแนวความคิดของชื่อร้าน     ส่วนอาหารของที่ร้านนี้ก็เป็นที่กล่าวขานของนักชิมระดับไฮโซเช่นกัน เนื่องเพราะทุกจานตามเมนูและรายการอาหารชุด ได้รับการดูแลเอาใจใส่จาก HaiKal Johari เชฟหนุ่มชาวสิงคโปร์ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการอาหารมานาน ฝีมือเยี่ยมจนได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากสิงคโปร์ The Perfect Meal 2009 มาแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ เชฟ Haikal ได้ร่วมงานมานาน 2 ปี กับโรงแรม Raffles ซึ่งเป็นโรงแรมยอดเยี่ยมที่สุดของสิงค์โปร์ และยังเป็นพ่อครัวที่เป็นผู้จัดและปรุงอาหารให้กับประธานาธิบดีแห่งสิงค์โปร์มาแล้ว และใครที่เคยหลงใหลในรสชาติอาหารของร้านแอมเบอร์ หลังสวนนั้นคงไม่ผิดหวังเพราะเขาเป็นเชฟรุ่นแรก ๆ ของร้านนี้

 


     
              























อาหารต่างๆของ Water Library ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารจานที่ถูกปรุงขึ้นเป็นพิเศษไม่เหมือนใคร ด้วยวัตถุดิบที่คัดสรรอย่างดีตามฤดูกาล และโดดเด่นด้วยการออกแบบอาหารในสไตล์เฟรนช์โมเดิร์น ส่วนมากลูกค้าจะนิยมสั่งเป็นเซตเมนูดินเนอร์ที่ร้านเตรียมไว้ให้ (จะเปลี่ยนทุกๆ 2 เดือน) ในราคา3,200 บาท++(รวมไวน์) หรือใครที่อยากกินเพิ่มก็ยังมีอาหารตามสั่งให้อีกด้วย
          Fresh Buttermilk Pannacotta ที่พลิกแพลงนำเอาส่วนหนึ่งที่ใช้ปรุงเป็นของหวานแบบอิตาเลียน มาตกแต่งด้วยของคาว เช่น มันหอยเม่นจากญี่ปุ่น ก้านเฟนเนลดอง คาร์เวียร์ และตกแต่งด้วยกลีบดอกไม้สด เพิ่มรสชาติด้วย white balsamic บรรจุในถ้วยขนาดย่อมทรงแปลก

 


   
    

          Roasted Heirloom Beets เป็นการนำเอา Rock Melon เนื้อหวานฉ่ำจากออสเตรเลีย เนื้อปลาแซลมอนจากแทสมาเนีย Goat Cheese ใบ beet มาจัดวางเข้าด้วยกันอย่างงดงาม ให้รสชาติที่อร่อยตามธรรมชาติของวัตถุดิบแต่ละชนิด มาผสมผสานกันเป็นความอร่อยที่ไม่เหมือนใคร
          Fresh Hokkaido Scallops หอยเชลล์จาก Hokkaido อันเป็นแหล่งที่เยี่ยมที่สุด นำมาจี่กับกระทะด้านเดียวพอสุก เนื้อในนุ่มหวาน เคียงมากับแป้งข้าวโพดและเนื้อข้าวโพดสุก นุ่มหอม เพิ่มรสด้วยเบคอนกรอบและน้ำส้ม Balsamic เคี่ยว
.

     
         









          White Asparagus Veloute ซุปข้นเนื้อเนียน ปรุงจากเนื้อแอสพารากัสขาว ปั่นกับครีมสดปรุงแบบซอส Hallandaise รสหวานมันออกเปรี้ยวเล็กน้อย โรยด้วยเนื้อปูสดสุกทั้งหอมทั้งหวาน
          Sakura Smoked Gindara ปลาหิมะทอดพอสุกด้วยไฟกลางๆ ผิวเป็นสีเหลืองเข้ม เนื้อในแน่นหวานมัน วางบนเนื้อแครอทบด หัวหอมอบ และเพิ่มรสด้วยวาซาบิ



            400 Days Grain Fed Beef เนื้อสันในวัวญี่ปุ่นขุนด้วยธัญพืช 400 วัน ได้เนื้อที่นุ่มมาก ย่างพอน้ำตกข้างนอกสุกหอม ข้างในยังชุ่มฉ่ำหวาน เคียงด้วยเนื้ออาร์ติโชคสุก เห็ดมอเรล ราดด้วยน้ำเคี่ยวเนื้อ เป็นเนื้อที่น่ากินที่สุด หากใครชอบรสชาติแบบอีสาน ร้องขอแจ่วแบบดั้งเดิมมาลองได้ รับรองถึงใจจนแทบต้องร้องหาข้าวเหนียวนึ่งมากินคู่


          

          Cold Gazpacho ของหวานปรุงจาก Rock melon หวานหอม ใส่เป็นชั้นๆสลับกับกับ Moscato-Yogurt Sorbet Lavender Meringuea และ Mint Granites เป็นของหวานที่ทั้งอร่อยและสดชื่น หลังอาหารมื้อสำคัญ
      
    




          เหล่านี้คืออาหารจานตัวอย่างจาก Water Library ซึ่งนอกจากอาหารตามเมนูแล้ว ยังมีอาหารชุดสำหรับอาหารกลางวัน ที่มีให้เลือกจากรายการเกือบ 30 รายการ โดยจะเลือกเป็นเมนู 2 คอร์สในราคา 800 บาท++ และเมนู 3 คอร์ส ในราคา 850 บาท++ ก็ได้

       

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

TUSCANY THAI CUISINE

TUSCANY THAI CUISINE 



“Tuscany Thai Cuisine” ร้านอาหารไทยสไตล์โมเดิร์น ที่ดูโดดเด่นไม่ซ้ำใคร หากใครผ่านได้มาพบเห็นแล้ว เป็นต้องหันหน้ามองจนสุดสายตาจากการตกแต่งร้าน ที่มีสไตล์คลาสสิคในแบบอิตาลีโดยแท้ สีของร้านที่มีความสดใส แบ่งเป็น 2 โซน คือ แบบ open air ที่มีโต๊ะ เก้าอี้ไม้ขนาดใหญ่วางเรียงรายบนพื้นกระเบื้องหิน และพื้นหญ้าสลับกันอยู่ จัดแต่งด้วยพุ่มไม้ ดอกไม้ ประดับด้วยดวงไฟระยิบระยับ ดนตรีเล่นเพลงฟังสบายๆ ไปพร้อมกับสายลมที่พัดโบกพลิ้ว สร้างบรรยากาศอันแสนโรแมนติก ส่วนโซนถัดไปเป็นห้องแอร์เย็นฉ่ำ สีสันสดใสบวกภาพวาดเก๋ไก๋ที่แขวนอยู่โดยรอบบนผนังซึ่งในส่วนนี้ยังมีห้องคาราโอเกะไว้คอยบริการอยู่อีกถึง 4 ห้อง
สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คืออาหาร ที่นี่คุณจะได้ลิ้มรสชาติของอาหารอิตาลีและอาหารไทยรสจัดจ้าน พร้อม “ค็อกเทล ทัศคานีโบนาเซร่า” หรือจะเป็นไวน์รสนุ่มลิ้นจากเมือง Chanti อันเป็นต้นตำรับของไวน์ขนานแท้จากอิตาลีเลยทีเดียว





TUSCANY THAI CUISINE เน้นเมนูอาหารไทยฟิวชั่น (FUSION FOOD) รสชาติจัดจ้านเป็นที่สุด แต่เมนูเด่นที่พลาดไม่ได้ถ้าคุณได้มาเยือนทัสคานีคือ ขาหมูทัสคานี (สูตรอิตาลี) และไส้กรอกทัสคานี (รายละเอียดตามแผ่นแนบ) และเพื่อให้ทุกเมนูได้รสชาติที่ลูกค้าชื่นชอบ การคัดเลือกวัตถุดิบถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด คุณพ่อเลือกใช้วัตถุดิบสด ใหม่ ได้คุณภาพ ซึ่งบางอย่างเราปลูกเองในรีสอร์ท ที่ปากช่องจ.นครราชสีมา เป็นผักกางมุ้งปราศจากยาฆ่าแมลง เรื่องนี้คุณพ่อให้ความสำคัญมากครับ วันนี้วัตถุดิบบางชนิดที่สำคัญ เช่น พาเมซาน, น้ำมันมะกอก เรายังสั่งนำเข้าจากอิตาลี ส่วนปลาแซมมอน เนื้อวัวและเนื้อแกะเราสั่งตรงจากต่างประเทศครับ


การทำอาหารเป็นศิลปะ “ทุกจานที่ทัสคานี ไทย คลูซีน เป็นงานแสดงโชว์ของเชฟ” เราพิถีพิถัน ใส่ใจทุกรายละเอียด วัตถุดิบ คุณภาพ รสชาติ และราคาต้องสอดคล้องและเหมาะสม เราอยากให้ทัสคานี เป็นเสมือนบ้านอันแสนอบอุ่นของทุกท่านที่ได้เข้ามาเยือน

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

tongue fun







 ไอศกรีมหม้อไฟ

ใครยังไม่อิ่มหนำกับการเล่นน้ำคลายร้อนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่เพิ่งผ่านมา วันนี้ We Recommend มีหนึ่งร้านที่ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายให้เย็นลงแบบตัวไม่เปียก แถมยังอิ่มท้องมาให้ลิ้มลองกัน กับร้าน “Tongue Fun” ในบริเวณซอยยศเส หรือที่ใคร ๆ เรียกกันติดปากว่า “ไอศกรีมหม้อไฟ” ค่ะ
กว่าจะเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงขนาดทุกวันนี้ เจ้าของร้าน คุณโช เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้หุ้นกับเพื่อนขายไอศกรีมธรรมดา จนตอนหลังแยกมาทำคนเดียว เลยอยากหาอะไรที่เป็นเอกลักษณ์แปลกใหม่ ด้วยความที่เคยทำงานเอเจนซี่โฆษณามาก่อน จึงชอบคิดอะไรที่แตกต่าง พยายามหาอะไรที่ตรงข้ามกับความเย็นของไอศกรีมมาลองใส่ดู สุดท้ายเลยมาลงตัวที่หม้อไฟ แล้วเพิ่มน้ำแข็งแห้ง Food Grade ที่รับรองความปลอดภัย ใส่ลงไปตรงกลาง ให้มีควันขึ้นมาดูสมจริง ดูแล้วน่าตื่นตาตื่นใจจนติดใจใครหลายคนเลยค่ะ
 
เพียงแค่แพ็กเกจภายนอกอย่างเดียวคงดังไม่ได้ ต้องควบคู่กับความอร่อยของรสชาติไอศกรีมที่เป็นจุดเด่นของร้านนี้ไปด้วยค่ะ กับหลากหลายรสที่หาทานไม่ได้ที่ไหนที่มีกว่า 20-30 รส ที่หลายคนยกนิ้วให้เป็น รสโคตรนม ซึ่งเป็นรสแรกที่พยายามสร้างสรรค์ความต่าง โดยใส่นมเพิ่มเข้าไปเป็นดับเบิ้ล จนได้ความเข้มข้นหวานมันของนมแบบเต็ม ๆ ต่อมาเป็นบรรดารสที่ผสมแอลกอฮอลล์ก็ฮอตไม่เบา อย่าง รสเบียร์ ที่ไม่หนักจนเกินไป หรือ รสกระทิงแดงวอดก้า ที่เกิดปิ๊งไอเดียจากตอนไปสำรวจตลาดที่เวียดนาม ซึ่งคนที่นั่นนิยมดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมาก เลยลองทำ ปรากฏคนไทยก็ชอบไม่แพ้กันค่ะ หรือเป็นรสที่คุ้นเคย อย่าง รสสตอว์เบอร์รี่ ช็อกโกแลตบราวนี่ ยาคูลท์ปีโป้ หรือ นูเทลล่า ก็ทำออกมาได้ลงตัวเช่นกัน ราคาเพียงลูกละ 25, 28 และ 30 บาทเท่านั้นค่ะ
หากร้อนนี้อยากมาลิ้มรสความสนุก ไอศกรีมหม้อไฟเปิดต้อนรับอยู่ถึง 3 สาขาค่ะ ทั้งที่ ซอยยศเส ร้านแรกต้นตำรับ เปิดเวลา 19.00-23.00 น. สาขา Terminal 21 จะมีหม้อไฟไซส์เล็กด้วย สามารถมาทานได้ทั้งวัน ตั้งแต่ 10.00-22.00 น. อยู่บริเวณ Food Court และสาขาล่าสุดที่ ลาดพร้าว 71 เปิดเวลา 10.00-21.00 น.

cupcake love

คัพเค้กแต่งหน้าสวยๆ รสชาติอร่อย ร้านแต่งน่ารัก น่านั่ง



ร้าน Cupcake Love ไม่ต้องบอกก็
น่าจะรู้กันอยู่แล้วนะคะจากชื่อ คือร้าน
คัพเค้กนั่นเอง สำหรับสาขาที่ไปทาน
ครั้งนี้คือสาขาสยามพารากอนคะ อยู่
ที่ชั้น 4 ร้านติดกับร้าน True Coffee
เป็นร้านเล็กๆที่มีโต๊ะเพียง 4-5โต๊ะ
แต่ตกแต่งได้น่ารัก น่านั่งและเหมาะ
สำหรับสาวๆที่ชอบถ่ายรูปอีกด้วยคะ


เมนูที่นี่หลักๆคือ "คัพเค้ก" สำหรับเมนู
แนะนำของท่ีนี่ที่เป็นอันดับ 1 คือ Red
velvet คะ อันดับที่ 2 คือ White
chocolate macadamia ส่วนอันดับ
ที่ 3 คือ Chocolate อะไรจำชื่อไม่ได้คะ
นอกนั้นที่มีก็เยอะนะคะ สำหรับเมนู เช่น
Brownie cupcake,Blueberry
surprise,Strawberry delight,
Sweet lemony เป็นต้นคะ นอก
จากเมนูที่หลากหลายแล้ว ร้านนี้ยัง
สามารถเลือกขนาดของถ้วยคัพเค้ก
ด้วยคะ มีแบบขนาดปกติและแบบมินิ
แบบปกติราคา 80บาท ส่วนแบบมินิ
ขายเป็นเซ็ต 1เซ็ตมี 4ชิ้นมินิ ราคา
125บาทคะ


สำหรับครั้งนี้ได้สั่งแบบเซ็ตเมนูที่ทาง
ร้านได้กำหนดไว้ เลือกสั่งแบบเซ็ต 1
คือมีคัพเค้กขนาดปกติ 1ถ้วย และ
เครื่องดื่ม 1แก้ว เลยเลือก "White
chocolate macadamia" และ
pink lemonade สำหรับคัพเค้ก
นั้นรสชาติหวานกำลังดี มีความมันจาก
ถั่วแมคคาเดเมียด้วย ทำให้อร่อยลงตัว
หวานและมันผสมกัน ส่วนไวท์ช็อคที่อยู่
บนหน้าคัพเค้กก็เยอะดีคะ ใครที่ชอบทาน
ก็ต้องติดใจแน่ๆคะให้คุ้มจริงๆ ส่วนตัว
เนื้อเค้กนั้น นิ่ม นุ่มดีคะ ส่วน pink
lemonade รสชาติออกรสเปรี้ยวๆ
ทานแล้วสดชื่นเลยคะ ทานกับคัพเค้ก
เข้ากันดีคะ เพราะหวาน มัน เปรี้ยว
มีทุกรสชาติดีคะ กดไลท์คะ
101 - 250 บาท ครอบครัวหรือเด็ก
เมนูเด็ด










redvelvet White Chocolate Macadamia
Cupcake Love Siam Paragon ที่ ร้านอาหาร Cupcake Love Siam Paragon

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Maker Di Metro

MAKER DI METRO




  • ประเภทธุรกิจ : ขนมและของหวาน

  • ประเภทอาหาร : ร้านกาแฟ

  • เมนูแนะนำ : เอสเพรสโซ่, อเมริกาโน, คาปูชิโน, ลาเต้, ม็อคค่า, คอฟฟี่นัท, น้ำผลไม้, อิตาเลี่ยนโซดา, บานอฟฟี่พาย, ช็อกบอล, ทีรามิซุ

  • ที่อยู่ Maker Di Metro : 1091/121-122 ซอยเพชรบุรี 33 อาคาร อาคารชัยวดี ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
    เบอร์โทรศัพท์ Maker Di Metro : 026517230
  • วันและเวลาเปิดปิดทำการ : เปิดทุกวัน เวลา 08.00 - 18.00 น. หยุดทุกวันอาทิตย์

  • การเดินทาง Maker Di Metro : จากถนนเพชรบุรีตัดใหม่ มุ่งหน้ามาทางประตูน้ำเซ็นเตอร์ ร้านกาแฟเมกเกอร์ดิเมโทร จะอยู่ด้านข้างธนาคารธนชาติ สำนักงานใหญ่ ตรงข้ามธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาชิดลม และอยู่ตรงหน้าปากซอยเพชรบุรี 33

  • ที่จอดรถ : บริเวณหน้าร้านกาแฟเมกเกอร์ดิเมโทร